Bui DK (Webmaster1)
|
 |
« เมื่อ: กันยายน 21, 2010, 04:53:41 pm » |
|
หลวงพ่อมหาอาคม วัดดาวนิมิต
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 21, 2010, 06:32:49 pm โดย Bui DK (Webmaster1) »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Bui DK (Webmaster1)
|
 |
« ตอบ #1 เมื่อ: กันยายน 21, 2010, 04:58:56 pm » |
|
พระครูอนุรักษ์วาปีพิสัย (หลวงพ่อมหาอาคม อินฺทสโร)
ชื่อเดิม : ชื่อ อาคม ตระกูล ประทุมทอง
บ้านเกิด : วันเสาร์ที่ 10 เมษายน 2467 ณ บ้านโนนแดง หมู่ที่ 20 ต.หนองแปง อ.กมลาพิไสย จ.มหาสารคาม(ปัจจุบันเปลี่ยน เป็น ต.ลำชี อ.กมลาพิไสย จ.กาฬสินธุ์) เป็นบุตรโทนของนายเคน และนางแดง(เสียชีวิตแล้วทั้งสองท่าน)
บรรพชา/อุปสมบท : ปี พ.ศ.2487 อุปสมบทต่อเนื่องจากการบรรพชา โดยมิได้สึกแต่อย่างใด ณ วัดบ้านโนนแดง(วัดบ้านเกิด) โดย พระสารคามมุณี เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้รับฉายา อินทสโร
การปกครอง/สมณศักดิ์ พ.ศ.2494 เป็นเจ้าอาวาสวัดบุ้งน้ำเต้า และเจ้าคณะตำบลบุ้งน้ำเต้า อ.หล่มสัก พ.ศ.2519 เป็นเจ้าอาวาสวัดราหุล อ.บึงสามพัน และได้รับตราตั้งเป็นพระอุปัชฌาย์ พ.ศ.2525 เป็นพระครูสัญญาบัตรพัดยศ ชั้นโท ที่ พระครูอนุรักษ์วาปีพิสัย และเป็น เจ้าคณะอำเภอบึงสามพัน พร้อมทั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดดาวนิมิต พ.ศ.2530 เป็นเจ้าคณะอำเภอชั้นเอก ในราชทินนามเดิม
|
|
|
|
Bui DK (Webmaster1)
|
 |
« ตอบ #2 เมื่อ: กันยายน 21, 2010, 05:44:09 pm » |
|
เรื่องราวของ หลวงพ่อมหาอาคม อินทสโร พระผู้ซึ่งได้รับการขนานนามว่า อาคมขลังเมืองมะขามหวาน หากจะว่ากันให้ละเอียดแล้ว 2 ฉบับ ก็ไม่หมดเนื้อหา ดังนั้นต้องกราบขออภัยที่ต้องย่อเรื่องให้กระชับ แต่อย่างไรก็ตามผมจะพยายามให้รายละเอียดต่าง ๆ คงเดิม ตามที่ ครูแดง ให้ข้อมูลมาครับ
กล่าวได้อย่างเต็มที่ว่า หลวงพ่อเป็นผู้ฝักใฝ่ในการศึกษาเป็นอย่างยิ่ง จะเห็นได้ว่าเมื่อเข้าเรียนขั้นมูลหรือชั้นประถมต้น เมื่อายุ 10 ขวบ พ.ศ. 2477 ณ โรงเรียนวัดโนนแดง ต.หนองแปง อ.กมลาไสย จ.มหาสารคาม ซึ่งเป็นโรงเรียนที่ใกล้บ้าน หลวงพ่อใช้เวลาเพียงแค่ 3 ปีเท่านั้นก็จบชั้นประถมปีที่ 4 ใน พ.ศ. 2480 และในปีรุ่ง พ.ศ.2481 ท่านก็ได้รับการบรรพชาเป็นสามเณรที่วัดบ้านตูมชัย ต.หนองแปง ในแถบบ้านเกิดของท่าน ขณะนั้นท่านอายุเพียง 14 ปี
และดังที่ได้เรียนไว้เบื้องต้น หลวงพ่อเป็นผู้ใฝ่การศึกษา ดังนั้นในการศึกษาพระปริยัติธรรม ท่านจึงพ้นอย่างสะดวกสบาย โดยในขณะอายุ 19 ปี ท่านก็สอบนักธรรมชั้นเอกเป็นที่เรียบร้อย นอกจากนั้น ท่านยังได้เรียนบาลีไวยากรควบคู่ไปอีกจนแตกฉานกว่าสามเณรในวัยเดียวกัน และเพราะความที่ชอบในการศึกษา หลังช่วงว่างจากการศึกษาบาลีไวยากรแล้ว หลวงพ่อก็เริ่มศึกษาวิชาอาคมกับพระอาจารย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในเขตจังหวัดมหาสารคาม ซึ่งแต่ละเถรคณาจารย์จะเก่งทางด้านคงกระพันชาตรีและการขับภูติผีปีศาจ แก้คุณไสยต่าง ๆ อาทิ หลวงปู่ป้อ แห่งวัดบ้านเอียด ต.เขว้า อ.เมือง จ.มหาสารคาม และตั้งแต่เป็นสามเณรหลวงพ่อก็ได้วิชาต่าง ๆ มากมายโดยเฉพาะ วิชาขับผี ไล่ปอบ ซึ่งหลวงพ่อก็ได้วิชานี้จนโด่งดัง สมัยเป็นสามเณรแล้ว
หลังจากอุปสมบทอย่างต่อเนื่องเมื่ออายุครบ 20 ปี แล้วหลวงพ่อก็ได้เดินทางไปศึกษาบาลีธรรมบท ในกรุงเทพมหานคร โดยพักจำพรรษาที่วัดสระเกศ 3 พรรษาด้วยกัน และได้เปลี่ยนสำนักเรียนอีก 2-3 แห่งคือวัดสุทัศน์ และวัดมหาธาตุ แต่แล้วในปี พ.ศ. 2490 ได้เกิดสงครามมหาเอเชียบูรพาขึ้น ประเทศไทยได้รับผลกระทบค่อนข้างรุนแรง เกิดวิกฤติ ข้าวยากหมากแพง จากกรุงเทพมหานคร หลวงพ่อก็ได้โยกย้ายกลับขึ้นไปทางภาคเหนือที่จังหวัดเชียงใหม่ หลบภัยอดอยากจากสงครามโดยจำพรรษาอยู่ที่วัดพระสิงห์ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ 2 พรรษา
|
|
|
|
Bui DK (Webmaster1)
|
 |
« ตอบ #3 เมื่อ: กันยายน 27, 2010, 09:52:20 am » |
|
ก้าวแรกสู่แดนมะขามหวาน นครพ่อขุนผาเมือง
ปี พ.ศ. 2494 หลวงพ่อได้ออกธุดงค์จากจังหวัดเชียงใหม่ล่องใต้ตามไม้หมอนรถไฟ และข้ามน้ำข้ามห้วยปีนเขามาถึงอำเภอหล่มสักจังหวัดเพชรบูรณ์ โดยจำพรรษาครั้งแรกที่วัดไพรสณฑ์วรารามและได้รับมอบหมายจากเจ้าอาวาสให้เป็นครูสอนบาลีธรรมเพราะในขณะนั้น หลวงพ่อได้เปรียญธรรม 4 ประโยค และในปี พ.ศ.เดียวกันนี้ หลวงพ่อก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าคณะตำบลลุ้งน้ำเต้า อ.หล่มสัก และจุดนี้คือจุดหักเหให้ชีวิตในสมณเพศของหลวงพ่อ เป็นไปในการเผยแผ่พระศาสนา อบรมปฏิบัติธรรม จริยธรรม แก่พระภิกษุสามเณรในเขตการปกครอง ตลอดจนการเผยแผ่พระพุทธศาสนา โดยการเทศน์สั่งสอน อุบาสก อุบาสิกา และประชาชนทั่วไป จนทำให้ชื่อเสียงในการเป็นพระธรรมถึกของหลวงพ่อโด่งดังไปทั่วอำเภอและใกล้เคียง
ในปีรุ่งขึ้น พ.ศ.2495 หลวงพ่อก็ได้รับความไว้วางใจ จากคณะสงฆ์จังหวัดเพชรบูรณ์แต่งตั้งให้เป็นพระธรรมฑูต ของจังหวัดเพชรบูรณ์ มีหน้าที่ออกเผยแผ่ความรู้แก่ประชาชนทั่วไป ตลอดจนพระภิกษุและสามเณรในเขตจังหวัดเพชรบูรณ์และใกล้เคียง และเพื่อสะดวกในการปฏิบัติหน้าที่ หลวงพ่อจึงต้องจำพรรษาในจังหวัดซึ่งเป็นศูนย์กลางการเผยแผ่ ณ วัดมหาธาตุ พระอารามหลวงประจำจังหวัด ซึ่งเป็นวัดที่หลวงพ่ออยู่จำพรรษามากที่สุด ก่อนที่จะไปดำรงตำแหน่งเจ้าคณะอำเภอบึงสามพัน
ช่วงที่อยู่จำพรรษาที่วัดมหาธาตุ เพชรบูรณ์ หลวงพ่อได้ศึกษาวิชาทางโลกเพิ่มเติมจนได้รับสิทธิให้เข้าสอบวิชาครู และสอบได้ในประกาศนียบัตรจากกระทรวงศึกษาธิการ หลักสูตร ครูมลพิเศษ และนับเป็นรูปแรกของพระภิกษุในจังหวัดเพชรบูรณ์ และเพราะวิสัยชอบศึกษาความรู้ในทุก ๆ แขนง เท่าที่โอกาสจะอำนวยให้จนเป็นผู้คงแก่เรียน รู้จริง ปฏิบัติจริง ด้วยเหตุนี้ หลวงพ่อจึงได้รับโปรดประทานจากสมเด็จพระสังฆราชาฯ ให้ดำรงตำแหน่ง พระวินัยทรในเขตภาคเหนือ มีหน้าที่ดูแลความเป็นระเบียบของพระภิกษุสามเณรให้อยู่ในระเบียบวินัยและกฎของมหาเถรสมาคม เขตรับผิดชอบ 8 จังหวัดทางภาคเหนือตอนล่าง อาทิ พิจิตร, นครสวรรค์, กำแพงเพชร, สุโขทัย, อุตรดิตถ์, พิษณุโลก, ตากและเพชรบูรณ์
หลวงพ่อมหาอาคมอยู่ในตำแหน่ง พระวินัยทร ตั้งแต่เริ่มแรก จนถึงเมื่อยกเลิกระบบการปกครองของสงฆ์ในปี พ.ศ. 2507 นับเป็นพระวินัยทรรูปสุดท้ายของจังหวัดเพชรบูรณ์
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 27, 2010, 09:53:58 am โดย Bui DK (Webmaster1) »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Bui DK (Webmaster1)
|
 |
« ตอบ #4 เมื่อ: กันยายน 27, 2010, 10:04:45 am » |
|
12 ปี แห่งการธุดงควัตรและวิชาคาถาอาคม
นับตั้งแต่ปี พ.ศ.2505-2517 หลวงพ่อตั้งปณิธานที่จะออกธุดงควัตร บำเพ็ญเพียรปฏิบัติธรรมและศึกษาด้านเวทมนต์คาถาจากพระเกจิอาจารย์ต่าง ๆ เพิ่มเติม โดยเริ่มต้นจากภาคเหนือ นับแต่ พิจิตร, พิษณุโลก, สุโขทัย ข้ามภูพระวอที่ตาก ไปแม่สอดและข้ามแม่น้ำเมยเข้าไปพม่า จากนั้นจึงวกไปทางตะวันออกเฉียงเหนือทางจังหวัดเลย มุ่งอีสานข้ามแม่น้ำโขงไปฝั่งลาว แขวงจำปาศักดิ์ แล้วลงภาคใต้ที่ประจวบฯ ลุยขึ้นเขาสามร้อยยอดต่อไปอำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี ปักกลดแถบเขาโตนงาช้างของนครศรีธรรมราช, ยะลาและข้ามไปปาดังเบซาร์แดนมาลายู
หลวงพ่อใช้เวลาการเดินทางธุดงค์ศึกษาศาสตร์ต่าง ๆพร้อมทั้งบำเพ็ญเพียรกรรมฐาน และสมาธิจิตกลางป่าดงดิบนานถึง 12 ปีเต็ม ๆ ได้วิชาความรู้ด้านเวทมนต์คาถา จากพระเกจิอาจารย์ผู้เรืองวิชาอาคมหลายรูป ทั้งฝากตัวเป็นศิษย์ และทั้งแลกเปลี่ยนวิชาอักขระยันต์ต่าง ๆ ตามแต่โอกาสจะอำนวยให้ เช่น ปี พ.ศ. 2508 ขณะธุดงค์ไปจังหวัดตาก ข้ามภูพระวอไปอำเภอแม่สอด ได้ไปขอศึกษาวิชาคงกระพันชาตรี เพิ่มเติมกับ ครูบากัญชัย หรือ พระครูศิริรัตนาภรณ์ เจ้าอาวาสวัดมาตานุสสรณ์ บ้านแม่กึ๊ดหลวง ฉายา เทพเจ้าลุ่มแม่น้ำเมย
และในปีเดียวกันนี้ หลวงพ่อก็ได้ตัว นะ สำคัญยิ่งมาหนึ่งตัว นะตัวนี้หลวงพ่อเคยนำมาสักให้กับลูกศิษย์คนหนึ่งปรากฏว่าเมื่อเด็กคนนี้โตขึ้นมา ถ่ายรูปทำบัตรประชาชนไม่ติด ต้องมาสักแก้จึงถ่ายรูปทำบัตรประชาชนได้ นะตัวดังกล่าวคือ นะลือชา
หลวงปู่แพง วัดสิงห์หารบ้านสะพือ อุบลราชธานี ศิษย์เอกเทพเจ้าภูเขาควายที่ลือลั่น สมเด็จรุน หลวงพ่อได้ร่ำเรียนวิชา ฝังตะกรุดทองคำใต้ท้องแขน และฝังแก้วมณี 4 ดวง (แก้วมณี โชติ-แก้วไพฑูรย์-แก้วปัทมราช-แก้ววิเชียร) คาถาเหล่านี้เป็นคาถาสารพัดนึก ใช้ได้ อยู่ยงคงกระพันมหาอุด แคล้วคลาด เมตตามหานิยม แก้คุณไสยทุกประเภท
หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพธิ์ นครสวรรค์ สุดยอดพระเกจิในอดีต ได้มอบยันต์และคาถากำกับโดยผ่านศิษย์เอกของท่านรูปหนึ่ง ซึ่งปักกลด อยู่ตรงรอยต่อของอำเภอท่าตะโก นครสวรรค์และเพชรบูรณ์ และหลวงพ่อมหาอาคมได้ไปพบเข้าพอดี นะของหลวงพ่อเดิมที่หลวงพ่อได้รับมา คือ นะ ซ้อนหัว ซึ่งหลวงพ่อมหาอาคมได้นำลงในตะกรุดทุกดอกของท่านที่มีการจัดสร้าง
หลวงพ่อพริ้ง วัดโบสถ์โก่งธนู ลพบุรี คือ พระเกจิอาจารย์อีกรูปหนึ่งที่หลวงพ่อได้ไปขอศึกษาวิชาอาคมโดยถวายตัวเป็นศิษย์ ซึ่งหลวงพ่อพริ้ง ได้เมตตามอบคาถา ประสานกระดูก ให้หลวงพ่อทำน้ำมันวิเศษ 108 รักษาประชาชนได้สารพัดโรค
หลวงพ่อใช้ จังหวัดอุตรดิตถ์ ศิษย์เอกหลวงพ่อแช่ม วัดฉลอง ภูเก็ต ได้มอบตำราและคาถาการสร้างยันต์ตะกรุดโทน คู่ชีวิต ให้เมื่อครั้งหลวงพ่อธุดงค์ผ่านจังหวัดอุตรดิตถ์
และเมื่อต้นปี 2513 เมื่อหลวงพ่อข้ามเขารังไปยังอำเภอชนแดน เพื่อกราบนมัสการเยี่ยมหลวงพ่อทบ ที่วัดพระพุทธบาทชนแดน เพราะทราบข่าวว่ามีคนร้ายบุกขึ้นไปปล้นทรัพย์หลวงพ่อทบบนกุฏิและคนร้ายได้ยิงหลวงพ่อทบถึง 4 นัด แต่ลูกปืนไม่ออก หลวงพ่อได้กราบเรียนหลวงพ่อทบว่า ขณะที่คนร้ายยิงหลวงพ่อทบได้ใช้คาถาอะไร ปืนคนร้ายจึงยิงไม่ออก หลวงพ่อทบท่านมีความเมตตา และชอบพอนิสัยหลวงพ่อมหาอาคมอยู่ก่อนแล้ว จึงได้ท่องคาถาให้หลวงพ่อมหาอาคมฟัง 1 เที่ยว แล้วลองให้หลวงพ่อท่องให้ฟัง ปรากฏว่าหลวงพ่อมหาอาคมท่องได้ถูกหมดและแม่นยำ หลวงพ่อทบจึงได้บอกว่าเอาไปใช้ดูเป็นคาถาดับไฟดับปืนให้เป็นน้ำ ซึ่งก่อนหน้านี้หลวงพ่อมหาอาคมก็เคยได้คาถา เมตตาค้าขายดี ของหลวงพ่อทบมาก่อนแล้ว โดยผ่านโยมผู้หญิงกลางคนหนึ่งที่เป็นศิษย์หลวงพ่อทบ ซึ่งโยมผู้นั้นมีอาชีพค้าขาย ต้องการค้าขายดี ร่ำรวย จึงได้พาลูกและครอบครัวไปกราบขอพึ่งบารมีหลวงพ่อทบ ซึ่งท่านได้เมตตาเขียนเป็นตัวหนังสือขอมลงในกระดาษแทนผ้ายันต์ เพื่อให้ไปบูชา เมื่อได้คาถามาแล้วโยมผู้นั้นอ่านไม่ออก ก็นำคาถาบทนั้นมาให้หลวงพ่อมหาอาคมอ่านและแปลให้ฟัง หลวงพ่ออ่านและแปลจนเข้าใจและท่องจำได้ขึ้นใจ เมื่อมีโอกาสพบหลวงพ่อทบจึงท่องให้ฟัง ซึ่งหลวงพ่อทบบอกว่าใช่ ความจำมหาดีมาก ฉันยกให้ลองเอาไปใช้ดูนะ
แม้จะได้วิชาอาคมจากพระเกจิชื่อดังแห่งยุคหลาย ๆ รูป แต่ดูเหมือนจะไม่อิ่มในการใฝ่เรียนรู้ของหลวงพ่อมหาอาคมเพราะแม้แต่คฤหัสคนใดที่เก่งจริงรู้จริง หรือจะเป็นเทพเป็นร่างทรง ท่านเป็นขอศึกษาเล่าเรียนทันที เช่น หลวงปู่ทองคำ ซึ่งอยู่ในร่างทรงของผู้ประพฤติดี ปฏิบัติดี ท่านหนึ่ง (หลวงปู่ทองคำ เป็นพระภิกษุที่มรณภาพกว่า 400 ปีแล้ว) หลวงพ่อมหาอาคมก็เคยฝากตัวเป็นศิษย์ และได้คาถาดี ๆ จากองค์ที่นับถือเป็นครูอาจารย์
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 27, 2010, 10:36:26 am โดย Bui DK (Webmaster1) »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Bui DK (Webmaster1)
|
 |
« ตอบ #5 เมื่อ: กันยายน 27, 2010, 10:31:50 am » |
|
12 ปี แห่งการแสวงหาและบำเพ็ญเพียรของหลวงพ่อมหาอาคม ได้ทำให้วัตถุมงคลของท่านมีพุทธาคมเข้มขลัง มีพลังแห่งอิทธิฤทธิ์และบุญฤทธิ์สูงส่ง และเป็นที่มาแห่งฉายาอาคมขลัง เมืองมะขามหวาน และนับแต่ปี พ.ศ. 2520 หยุดการธุดงค์แล้ว 15 ปี หลวงพ่อก็เริ่มจำพรรษาที่วัดบ้านราหุล ต.โคกตะยอ อ.บึงสามพัน จ.เพชรบูรณ์ ตามคำนิมนต์ ของบรรดาศิษย์และได้ค้นหาภูเขาเล็ก ๆ ที่เคยเดินธุดงค์มาพบ เพราะเหมาะแก่การสร้างวัด เมื่อค้นพบแล้วจึงชวนชาวบ้านและคณะศิษย์ย้ายจากวัดราหุล เริ่มก่อสร้างวัดขึ้นใหม่ ในทำเลนี้ ซึ่งก็คือ วัดดาวนิมิต ในปัจจุบัน หลวงพ่อมหาอาคมถึงแก่มรณภาพด้วยโรคชราในปี พ.ศ. ๒๕๔๗ นับเป็นการสูญเสียพระเถระผู้ปฎิบัติดีปฎิบัติชอบไปอีกรูปหนึ่ง สุดท้ายนี้จะได้นำเอาคำสั่งสอนของหลวงพ่อมาลงไว้เพื่อเป็นอนุสรณ์ดังนี้"มนุษย์และสัตว์ในโลกนี้ เขาเหล่านั้นมาเกิด เขาไม่รู้ว่าชาติความเกิดเป็นทุกข์ ชราความแก่เป็นทุกข์ พยาธิความป่วยไข้เป็นทุกข์ มรณะ ความตายก็เป็นทุกข์ เกิดมาแล้วโตขึ้นมาจึงเห็นความทุกข์ จากการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ถ้าเขารู้คงไม่มาเกิดและไม่มีใครอยากเกิดด้วย เกิด แก่ เจ็บ ตาย สี่อย่างนี้มาพร้อมกันตั้งแต่เกิด ถ้าไม่เกิด ก็ไม่แก่ ถ้าไม่แก่ก็ไม่เจ็บ ถ้าไม่เจ็บก็ไม่ตาย เขาเรียกกันว่าธรรมชาติ เป็นธรรมดาของโลกต้องเป็นไปอย่างนั้น ขันธ์ทั้ง ๕ (ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขารและวิญญาณ) ไม่มีเจ้าของ ไม่มีผู้สร้าง ไม่มีผู้เสวย ไม่มีผู้ตั้งมั่น ไม่มีผู้ดำเนิน (ดังนั้นจึงไม่ควรยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ว่าเป็นตัวเรา และไม่ควรยึดมั่นสิ่งทั้งหลายว่าเป็นของเรา)"
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 27, 2010, 10:37:14 am โดย Bui DK (Webmaster1) »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Bui DK (Webmaster1)
|
 |
« ตอบ #6 เมื่อ: ตุลาคม 20, 2010, 06:21:06 pm » |
|
เพิ่มเกร็ดประสพการณ์ครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Bui DK (Webmaster1)
|
 |
« ตอบ #7 เมื่อ: ตุลาคม 20, 2010, 06:22:20 pm » |
|
ต่อครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Bui DK (Webmaster1)
|
 |
« ตอบ #8 เมื่อ: ตุลาคม 20, 2010, 06:23:38 pm » |
|
ต่อครับ...ไว้จะมาอัพเดทเรื่อยๆ นะครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Bui DK (Webmaster1)
|
 |
« ตอบ #9 เมื่อ: พฤศจิกายน 30, 2010, 04:54:10 pm » |
|
สวัสดีครับ ช่วงนี้หายไปพักนึง เนื่องจากติดภารกิจที่ช่วงนี้ค่อนข้างจะรัดตัว และต้องเตรียมเดินทางมาไทย เลยทำให้เพื่อนๆ ที่คอยติดตามรอนานนิดนึง และต้องขอโทษพี่กริชด้วยที่ลงข้อมูลเผยแพร่ให้ช้าไปหน่อย ได้ข่าวแว่วๆ ว่าเขียนเตรียมไว้ให้ลงเผยแพร่ถึงตอนที่ 5 แล้ว ต้องขอขอบคุณมา ณ ที่นี้ด้วยครับ... เรามาติดตามเรื่องราวของหลวงพ่อมหาอาคมกันต่อเลยดีกว่าครับภาคปฏิปทาและปาฎิหาริย์หลวงพ่อมหาอาคม วัดดาวนิมิต ตำบลซับสมอทอด อำเภอบึงสามพัน จังหวัดเพชรบูรณ์ เจ้าของตะกรุดโทนคู่ชีวิตมหาอุดหยุดปืน และเหรียญรุ่นแรกปีนแตกสะท้านปฐพี ตอนที่2 กลับมาอีกครั้งกับประสบการณ์เกี่ยวกับภาคประสบการณ์และปฏิปทาของหลวงพ่อมหาอาคม วัดดาวนิมิต ซึ่งเป็นตอนที่ 2 แล้วนะครับที่ผมเขียนให้กับเว๊บชมรมศิษย์หลวงพ่อทบ สำหรับประสบการณ์ต่างๆที่ได้ถ่ายทอดลงในเว๊บนี้ส่วนหนึ่งต้องขอขอบคุณ คุณบุญเลิศ สุนทรวิทย์ , คุณอำพร อ่ำไร่ขิง , และอีกหลายๆท่านที่มิได้เอ่ยนาม ต้องขอขอบคุณกับขอมูลที่ให้มานะครับ ในการเผยแพร่ประสบการณ์และข้อมูลดีๆหลายเรื่องที่บางครั้งแม้แต่พระที่วัดดาวนิมิตเองยังไม่รู้ด้วยซ้ำไปเขาหาว่าหลวงพ่อหยิ่ง พออ่านหัวข้อนี้แล้วรู้สึกไม่สบายใจเลยครับแต่ก็ขอให้ทุกท่านอ่านให้จบก่อนแล้วทุกท่านจะเข้าใจครับ คือหลวงพ่อมหาอาคมของเรานั้นมีนิสัยที่เด็ดเดี่ยวและไม่ค่อยชอบขอความช่วยเหลือหรือบอกบุญกับใครในการสร้างโบสถ์หรือศาสนสถานภายในวัดท่าน จะเห็นได้ว่าคนแถวๆตำบลซับสมอทอดหรือคนในอำเภอบึงสามพันก็ตามที บางคนยังไม่ค่อยรู้จักท่านเลยครับ จะมีก็แต่ศิษย์ยุคแรกๆที่เป็นชาวไร่แถวๆวัดเท่านั้นที่ศรัทธาท่านด้วยความบริสุทธิ์ใจ และคนส่วนใหญ่ที่มาทำบุญกับท่านนั้นมักจะเป็นคนต่างถิ่น ต่างจังหวัด หรือไม่ก็ต่างประเทศกันไปเลยครับเช่น ฮองกง สิงคโปร์ ไต้หวัน หรือแม้กระทั่งคนธิเบต ซึ่งสาเหตุที่คนเหล่านี้ดั้นด้นมาทำบุญกับหลวงพ่อก็คงเป็นเพราะปากต่อปากที่เคยมาทำบุญกับท่านแล้วเกิดความประทับใจ และที่สำคัญเวลาพวกเขามาทำบุญกับหลวงพ่อ หลวงพ่อมักจะแจกของดีให้ติดมือกับไปด้วยเสมอ เมื่อเขากลับไปพร้อมกับวัตถุมงคลอันทรงคุณค่า พวกเขาก็ได้ประสบกับปาฏิหาริย์ในวัตถุมงคลของหลวงพ่อที่ให้ไป ปากต่อปากก็บอกต่อกันไป จนทำให้เขากลับมาที่วัดอีกครั้งพร้อมกับญาติมิตรที่สนิทกันเพื่อชวนกันมาทำบุญกับหลวงพ่อและมาเอาของดีจากท่าน โดยเฉพาะตระกรุดคู่ชีวิตและเหรียญรุ่นแรกอันโด่งดัง แต่ก็แปลกไหมครับที่คนในซับสมอทอดไม่ค่อยจะมีวัตถุมงคลของท่าน เพราะอะไรทราบไหมครับ เพราะคนแถวซับสมอทอดมักชอบลองของกับท่าน สมัยแรกๆท่านก็แจกตระกรุดและเหรียญรุ่นแรกกับคนแถวนั้นละครับ คนที่ได้ไปมีทั้งศรัทธาท่านและไม่ค่อยจะศรัทธาท่าน บางคนชอบเอาวัตถุมงคลของท่านไปลองโดยเฉพาะกับตระกรุดคู่ชีวิต เห็นลองกันบ่อยจังขนาดปากกระบอกปืนแตกก็ยังเคยมี จนเรื่องการลองความขลังในวัตถุมงคลของท่าน จนวันหนึ่งไปเขาหูของท่านเข้า ท่านเลยบอกว่าคนแถวนี้มันดูถูกกู ดูถูกครูบาอาจารย์กู ตั้งแต่นั้นมาท่านมักจะไม่ค่อยจะแจกวัตถุมงคลให้กับคนในพื้นที่มากนักนอกจากศิษย์ยุคแรกๆที่เป็นชาวไร่ที่ศรัทธาท่านมากถึงพอจะมีบ้าง พอท่านไม่ค่อยจะแจกวัตถุมงคลให้กับพวกชอบลอง (แต่พวกที่ศรัทธาท่านจริงๆที่อยู่ในตำบลซับสมอทอดและในตัวอำเภอบึงสามพันท่านก็ยังแจกให้อยู่นะครับ)เลยกลายเป็นว่าหลวงพ่ออาคมเป็นพระที่หยิ่ง ต้อนรับแต่คนไกลๆๆคนรวยๆ ก็ดันไปลองของกับท่านนิว่าท่านจะเก่งแค่ไหน แต่ท่านก็ไม่ได้ว่ากระไรนะครับแค่เพียงอยากมอบตระกรุดหรือวัตถุมงคลให้กับคนที่ศรัทธาและนับถือท่านจริงๆเท่านั้นเอง ไม่ได้หยิ่งอย่างที่ใครต่อใครคิดกันเลยหรือต้อนรับเฉพาะคนรวยๆ หรือท่านเองต่างหากที่ละอายใจจนไม่กล้าสู้หน้าท่าน หรือท่านว่าไงครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Bui DK (Webmaster1)
|
 |
« ตอบ #10 เมื่อ: ธันวาคม 01, 2010, 11:03:09 am » |
|
แค่ครั้งเดียวก็เกินพอ คนโบราณมักบอกย้ำเสมอมาว่า การจะทดสอบความขลังของวัตถุมงคลหรือลองความศักดิ์สิทธิ์ของวัตถุมงคลนั้น ก่อนที่จะลองให้อาราธณาหรือจุดธูปบอกครูบาอาจารย์เจ้าของวัตถุมงคลนั้นว่าจะลองอย่างไร เช่นถ้าจะลองด้วยปืนจะยิงสักกี่นัดพอ หรือจะกระทำอย่างอื่นก็ตามทีแต่แค่ครั้งเดียวก็เกินพอ มีเรื่องอยู่เรื่องหนึ่งที่จะขอเล่าถึงการลองความขลังของวัตถุมงคลของหลวงพ่อมหาอาคมวัดดาวนิมิต โดยวัตถุที่นำมาทดสอบความขลังนั้นคือตระกรุดคู่ชีวิตยุคแรก นายบุญเลิศ สุนทรวิทย์ (บู่) เป็นศิษย์ยุคแรกๆของหลวงพ่อ ได้รับตระกรุดคู่ชีวิตยุคแรกเมื่อปี 2531 โดยหลวงพ่อมอบให้มาจำนวน 2 ดอก หลังจากได้ตระกรุดคู่ชีวิตมาก็อยากจะทดสอบความขลังของหลวงพ่อสิว่าจะแน่สักแค่ไหน เพราะเห็นเขาว่าหลวงพ่ออาคมเป็นศิษย์ของหลวงพ่อทบแห่งวัดชนแดน ฉะนั้นตระกรุดคงมีพุทธคุณเช่นเดียวกับตระกรุดของหลวงพ่อทบผู้เป็นอาจารย์ ซึ่งในการลองตระกรุดครั้งนี้มีคนร่วมอยู่ในวงแห่งการทดสอบความขลังทั้งสิ้น จำนวน 3 คน คือ 1.นายบุญเลิศ(บู่)เจ้าของตระกรุด 2.นายหนู ไม่ทราบชื่อจริง 3.ดาบไพศาล(เป็นตำรวจ) ซึ่งปืนที่ใช้ทดสอบความขลังเป็นปืนประจำกายของดาบไพศาล รีวอลโว่ขนาด จุดสามแปด พร้อมลูกแกะกล่องใหม่ๆจำนวน 6 นัด เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้วไม่ว่าจะเป็นปืน ลูกปืน และคนยิงคือดาบไพศาลข้าราชการตำรวจไทย นายบุญเลิศ(บู่)จึงจุดธูประลึกถึงพระรัตนตรัยมีหลวงพ่อทบแห่งวัดชนแดนและหลวงพ่อมหาอาคมวัดดาวนิมิตเป็นที่ตั้ง อธิษฐานว่าจะยิงแค่สามนัดแล้วจะหยุดทันที ถ้าศักดิ์สิทธิ์จริงสามนัดแรก ขออย่าให้ยิงออกเลย เมื่ออธิษฐานเสร็จก็นำตระกรุดไปแขวนไว้ที่ต้นมะพร้าว พร้อมกับส่งสัญญาณให้ดาบไพศาลทราบ เมื่อทุกอย่างพร้อมดาบไพศาลเดินเข้าไปเอาปืนประจำกายจ่อติดกับตระกรุดคู่ชีวิตพร้อมกับสับไกทันที นัดแรก แชะ ดาบไพศาลหันมามองเจ้าของตระกรุด นัดที่สอง แชะ มือดาบไพศาลเริ่มสั่น แชะ นัดสุดท้ายยังคงเหมือนเดิม นายบุญเลิศรีบวิ่งมาเอาตระกรุดทันที แล้วหันมาพูดกับดาบไพศาลว่า ไงวะไพศาลเห็นไหมสามนัดไม่ออกสักนัด ไหนเอ็งลองสับไกอีกสามนัดที่เหลือสิวะ(นายบุญเลิศเอ่ย) เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง เสียงปืนกึกก้องไปทั่วท้องสวนมะพร้าว สุดยอดว่ะกูไม่เคยเห็นอาจารย์ไหนจะแน่ขนาดนี้เลยวะ สามนัดปืนยิงไม่ออกเลยวะไหนเอ็งเอาลูกปืนออกมาให้ดูหน่อยสิว่ามีรอยเข็มฉนวนแทงหรือเปล่า(นายบุญเลิศเอ่ย) ทุกคนมองไปที่จุดหมายเดียวกันคือลูกปืนที่เอาออกมาจากลูกโม่ มีว่ะมีรอยแทงทั้งสามนัดวะ หรือว่าฟลุ๊ค งั้นลองอีกครั้งได้ไหมวะพวก (ดาบไพศาลเอ่ย) จะดีหรือวะ คนโบราณเขาบอกว่าลองแค่ครั้งเดียวก็เกินพอแล้วนะ(นายบุญเลิศเอ่ย) แต่กูไม่เชื่อวะ(ดาบไพศาลกล่าว) มาเอามา ดาบไพศาลดึงตระกรุดจากมือนายบุญเลิศไปพร้อมทั้งไปแขวนไว้ที่ต้นมะพร้าวตามเดิม ไม่พูดพร่ำทำเพลงนำลูกปืนทั้งสามนัดเข้าใส่ไปในลูกโม่เสร็จก็เอาปากกระบอกปืนจ่อประชิดตระกรุดพร้อมสับไกทันที เปรี้ยง เสียงปืนดังสนั่นทั่วกึกก้อง พอสิ้นเสียงปืนก็มีเสียงหนึ่งร้องขึ้นมา โอ๊ย โอ๊ย โอ๊ย มือกูเลือดไหลเต็มไปหมด ทุกคนหันไปมองที่ตระกรุดที่แขวนกับต้นมะพร้าวทันที่ ปรากฏว่าตระกรุดก็ยังคงแขวนอยู่ที่เดิมเหมือนไม่มีอะไรเกินขึ้น จะมีก็แต่เลือดที่ไหลอาบมือของดาบไพศาลพร้อมกับปากกระบอกปืนที่แตก จนใช้การไม่ได้ของดาบไพศาลเท่านั้น เห็นไหมละกูบอกแล้วว่าครั้งเดียวก็เกินพอ นายบุญเลิศกล่าวอย่างเย้ยหยันที่ไม่เชื่อคำพูดของตนเอง แล้วท่านละมีตระกรุดคู่ชีวิตของหลวงพ่อมหาอาคมวัดดาวนิมิตแล้วหรือยัง.........
ถึงเวลาแล้วเค้าจะมาเอาเอง หลวงพ่อมหาอาคมมักสอนเสมอมาว่า ถ้าใครผู้ใดไม่เคยทำบุญร่วมกันมา ไม่เคยเป็นศิษย์เป็นอาจารย์กับท่านมา แม้วัตถุมงคลของข้าวางอยู่ตรงหน้ามัน มันก็ยังไม่สนใจเลย แต่ถ้าใครเคยเป็นศิษย์กูมาแต่อดีตชาติ ถึงเวลาแล้วเจ้าของที่แท้จริงเขาจะมาเอาของเขาเอง แม้วันนี้ของชิ้นนี้อาจจะตกอยู่กับผู้อื่นก็ตามที แต่เมื่อเวลามาประจบเหมาะสักวันเจ้าของที่แท้จริงเขาจะมาเอาของเขาเอง โดยเฉพาะกับตระกรุดคู่ชีวิตและเหรียญคู่ชีวิตที่ทุกชิ้นจะมีเจ้าของที่แท้จริง
|
|
|
|
Bui DK (Webmaster1)
|
 |
« ตอบ #11 เมื่อ: ธันวาคม 01, 2010, 11:04:14 am » |
|
ท่ออลูมิเนียมกับตระกรุดคู่ชีวิต มีใครเคยสังเกตไหมครับว่าตระกรุดคู่ชีวิตของหลวงพ่อมหาอาคมนั้น ส่วนใหญ่ไส้แกนกลางจะเป็นท่ออลูมิเนียมเป็นแกนกลางแล้วพันทับด้วยโลหะ เช่นแผ่นทองแดง แผ่นทองเหลือ หรือแผ่นตะกั่ว แต่ตระกรุดส่วนใหญ่ ขอย้ำนะครับว่าส่วนใหญ่จะเป็นตระกรุดยุคกลางและยุคท้ายๆนะครับ แต่ถ้าเป็นยุคแรกๆจริงๆจะเป็นทองแดงล้วนๆ หรือไม่ก็ฝาบาตรล้วนๆครับหรือเป็นแบบสามกษัตริย์ไปเลยครับ ซึ่งตระกรุดคู่ชีวิตยุคแรกๆจริงๆนั้นจะไม่มีท่ออลูมิเนียม แต่พอตอนหลังมีคนมาขอตระกรุดท่านมากขึ้น จนท่านทำแทบไม่ทันท่านเลยนำท่ออลูมิเนียมมาเป็นไส้กลางเพื่อใช้เป็นตัวยึดในการพันแผ่นทองแดงหรือโลหะอื่นทับ เหมาะและสะดวกต่อการม้วนตระกรุดเป็นอย่างยิ่งครับ และท่ออลูมิเนียมนั้นก่อนที่จะนำมาทำเป็นแกนกลางตระกรุดนั้น ท่านก็มาจารลงอักขระเสียก่อนครับพร้อมเสกกำกับเป็นเบื้องต้น แต่บางอันผมเคยคลี่ตระกรุดดูก็ไม่มีจารนะครับ ส่วนคู่ชีวิตแท้ๆยุคแรกยันต์ที่ใช้จารจะเป็นยันต์แบบหลังเหรียญคู่ชีวิตเลยครับ ถ้าดอกเล็กก็ใช้ยันต์หัวใจคู่ชีวิตครับ(บทย่อครับเพราะเนื้อที่โลหะน้อยจารไม่เต็มสูตร แต่พุทธคุณก็เหมือนกันครับ คือปืนยิงไม่ออก) เท่าที่สังเกตมาและผ่านตระกรุดคู่ชีวิตมาส่วนใหญ่จะพบแต่ตระกรุดคู่ชีวิตยุคกลางและยุคท้ายๆครับคนเลยคิดว่าท่ออลูมิเนียมคือเอกลักษณ์ของตระกรุดคู่ชีวิตเสมอไปครับ เดี๋ยวไปพบแบบไม่มีท่ออลูมิเนียมแล้วปล่อยหลุดมือไปเสียดายแย่เลยครับ ส่วนตระกรุดคู่ชีวิตยุคแรกๆจริงๆเห็นไม่กี่ดอกครับส่วนใหญ่เจ้าของสุดหวงทั้งนั้น ฉะนั้นใครที่มีความสงสัยกับท่ออลูมิเนี่ยมก็เขียนอธิบายให้แล้วนะครับ โดยส่วนตัวผมแล้ว ผมชอบแบบมีท่ออลูมิเนียมเป็นแกนกลางนะครับเพราะดูแน่นหนาและแข็งแรงดี สำหรับตระกรุดคู่ชีวิตนั้นไม่ว่าจะเป็นยุคแรกหรือยุคกลางหรือยุคท้ายขอให้แท้อย่างเดียวพุทธคุณสุดยอดครับ ใส่ลุยได้เจ็ดย่านน้ำ ถึงยิงก็ไม่ออก ถึงออกก็ไม่โดน ถึงโดนก็ไม่เข้าครับ
จบภาค 2 กับปฏิปทาและปาฏิหาริย์หลวงพ่อมหาอาคม วัดดาวนิมิต เตรียมพบกับภาค 3 เร็วๆนี้ กับการลองฤทธิ์ของหลวงพ่อในพิธีปลุกเสกพระที่วัดพระแก้วในกรุงเทพ และเมื่อหลวงพ่ออาคมเอ่ยถึงหลวงพ่อคูณวัดบ้านไร่ เร็วๆนี้ รับประกันกับอรรถรสที่จะได้รับ โดยกริชภารตะ เจ้าเดิม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Bui DK (Webmaster1)
|
 |
« ตอบ #12 เมื่อ: ธันวาคม 29, 2010, 08:55:32 am » |
|
ภาคปฎิปทาและปาฏิหารย์ หลวงพ่อมหาอาคม วัดดาวนิมิต ตำบลซับสมอทอด อำเภอบึงสามพัน จังหวัดเพชรบูรณ์ ตอนที่ 3 โดย กริช ภารตะ กลับมาพบกับทุกท่านที่เป็นศิษย์ของหลวงพ่อมหาอาคม แห่งวัดดาวนิมิตกันอีกครั้งครับ ตั้งแต่ได้เขียนภาคปฎิปทาและภาคปาฎิหารยิ์ของหลวงพ่ออาคมลงในเวบกลุ่มศิษย์หลวงพ่อทบไป รู้สึกว่าตอนนี้หลายๆคนเริ่มรู้จักหลวงพ่อมหาอาคมของเรากันมากขึ้นครับ จนทำให้ตอนนี้วัตถุมงคลต่างๆของท่านเริ่มมีคนแอบเช่าเก็บกันเพิ่มมากขึ้น จนทำให้วัตถุมงคลบางประเภทราคาขยับไปมาก เช่น ตระกรุดคู่ชีวิต , เหรียญรุ่นแรก , รูปเหมือนปั๊มรุ่นแรก , เหรียญคู่ชีวิต ฯลฯ รู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่งที่หลวงพ่อของเรามีคนรู้จักมากขึ้นครับ สำหรับตอนที่ 3 นี้ จะได้เล่าเกร็ดต่างๆที่หลายๆคนไม่เคยรับรู้กันมาก่อนครับ เพื่อเทิดทูลครูบาอาจารย์ของเราว่า หลวงพ่อมหาอาคม หนึ่งไม่เป็นสองรองใคร เพราะท่านเก่งจริงไม่ได้เก่งเชียร์หรือปั่นกระแสใดๆทั้งสิ้นครับ เพราะวันนี้มองไปทางไหนก็ยากเหลือเกินที่จะหาใครเทียบได้ครับ จริงๆแล้วในตอนที่ 3 นี้ ผมรับปากว่าจะเขียนเกี่ยวกับการลองฤทธิ์ของหลวงพ่ออาคมกับบรรดาพระเกจิอาจารย์ ในพิธีปลุกเสกวัตถุมงคลที่วัดพระแก้วในกรุงเทพฯครับ แต่ผมกลับมาคิดทบทวนดูแล้วการเขียนอะไรที่เหมือนเขียนเชียร์ว่าพระอาจารย์เราเก่งกว่าพระเกจิบางท่านที่มีลูกศิษย์นับถือกันทั่วบ้านทั่วเมือง จึงเป็นการมิควรเป็นอย่างยิ่ง และที่สำคัญไม่มีประจักษ์พยานใดๆที่จะมาชี้ชัดว่าสิ่งที่ถ่ายทอดออกมาคือเรื่องจริง เพราะเป็นแค่เพียงคำบอกเล่าของหลวงพ่อที่ท่านเล่าให้ศิษย์ใกล้ชิดฟังเท่านั้น และที่สำคัญเรามิควรยกอาจารย์เราเหนือกว่าพระอาจารย์ของคนอื่นครับ การเขียนเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งละเอียดอ่อน ฉะนั้นอะไรที่มิควรเราก็ไม่สมควรจะเขียนครับ เลยต้องขออภัยแฟนๆไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ นั้นเรามาติดตามกันต่อเลยครับ
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 29, 2010, 09:00:28 am โดย Bui DK (Webmaster1) »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Bui DK (Webmaster1)
|
 |
« ตอบ #13 เมื่อ: ธันวาคม 29, 2010, 09:03:29 am » |
|
ตระกรุดหนังเสือสุดยอดมหาอำนาจ เหนือคน มีตระกรุดอยู่แบบหนึ่งที่หายากเหลือเกินจะเรียกว่าหายากกว่าคู่ชีวิตก็ว่าได้ นั้นคือตระกรุดหนังเสือ ซึ่งหลวงพ่อมหาอาคม วัดดาวนิมิต ท่านได้สร้างไว้จำนวน 2 ครั้ง คือครั้งแรกเมื่อปี 2531 และครั้งสุดท้ายเมื่อปี 2537 ซึ่งผมอยากจะขออธิบายเป็นยุคๆไปดังนี้ ตระกรุดหนังเสือยุคแรกสร้างปี 2531 พร้อมตระกรุดคู่ชีวิตน้อยอันโด่งดัง ลักษณะเป็นตระกรุดหนังเสือโคร่ง (ลายพาดกลอน) ขอย้ำว่ามีเฉพาะเสือโคร่งเท่านั้น ลักษณะของตระกรุด จะมีขนาดความยาวประมาณ 2.5-3 นิ้ว เหตุที่แต่ละดอกยาวไม่เท่ากันคงเป็นเพราะว่าหนังเสือในแต่ละส่วนมีขนาดต่างกัน เช่นส่วนลำตัว ส่วนตรงขา ซึ่งบางส่วนนำมาตัดแล้วก็เหลือหนังเสือเกิน 2.5 นิ้ว หลวงพ่ออาคมท่านเสียดายเลยไม่ตัดทิ้ง เลยทำให้บางดอกยาวสั้นไม่เท่ากัน เแต่จะไม่ยาวเกินนี้เพราะผ่านตามาไม่ต่ำกว่า 30 ดอก ลักษณะของตระกรุดเป็นหนังเสือโคร่งสอดใส่ในสายยางแล้วมีการลงสีลายธงชาติทับที่สายยาง ขอย้ำว่าลงสีทับที่สายยาง (ดูภาพประกอบ) ลักษณะสายยางตลอดจนลักษณะของสีที่ลงต้องเป็นแบบนี้นะครับเพราะรับมากับมือท่าน ถ้าต่างจากนี้ก็มี แต่จะใกล้เคียงกัน เช่นดอกของคุณพิทักษ์ บึงสามพันที่เคยลงโชว์ไว้ก็ใช่ครับมีลักษณะแม่สีที่ใกล้เคียงกัน ถ้าต่างจากนี้ไม่ทราบครับ เป็นสุดยอดตระกรุดที่หายากมากๆ น่าจะมีไม่ถึง 100 ดอก เป็นวัตถุมงคลในฝันของศิษย์สายตรงอย่างแท้จริง ท่านแจกตระกรุดนี้ให้เฉพาะศิษย์ยุคแรกเท่านั้น หลายๆคนจึงไม่เคยเห็นเพราะมีจำนวนน้อยมากๆและส่วนใหญ่จะตกอยู่กับศิษย์ชาวต่างชาติ เช่น คนไต้หวัน ,ฮองกง , ธิเบต ,มาเลเซีย เป็นต้น ยุคถัดมาเป็นตระกรุดสร้างปี 2537 เป็นแบบหนังเสือโคร่งและแบบเสือไฟ(เสือปลา) ท่านจะลงสีธงชาติในตัวตระกรุดเลยพร้อมเลี่ยมพลาสติกแบบไม่เลี่ยมก็มีนะครับและแบบลงสีที่สายยางก็มีครับ เห็นแต่ก่อนที่วัดให้ทำบุญ 2,000 บาท (ราคาทำบุญสมัยนั้นนะครับ) ตระกรุดปี 2537 ยังพอมีพบเห็นอยู่บ้างแต่ก็หายากเหมือนกัน เห็นมีอยู่ท่านหนึ่งเคยนำมาลงให้เคาะในจีพระครับเห็นเจ้าของบอกว่าไปบุกมาจากเอวเจ้าอาวาสวัดดาวนิมิตในราคา 5,000 บาทครับ (คุณพิทักษ์ บึงสามพันครับ และต้องขออนุญาตที่ต้องเอ่ยนาม เพราะท่านนี้เป็นสายตรงหลวงพ่ออาคมเบอร์หนึ่งของประเทศไทย มีของหายากๆของหลวงพ่อเยอะที่สุดก็ว่าได้ครับ) ส่วนอักขระที่ลงในหนังเสือนั้นเป็นยันต์ปืนแตกบ้าง เก้ายอดมหาอุดบ้าง อิติปิโสบ้าง มีทั้งจารเป็นอักขระแบบขอมลาวและขอมหวัด เดี๋ยวหลายๆคนจะเข้าใจผิดกันว่าตระกรุดหนังเสือเป็นตระกรุดคู่ชีวิตแบบหนึ่งของหลวงพ่อ ไม่ใช่นะครับหลวงพ่ออาคมไม่เคยสร้างตระกรุดคู่ชีวิตเป็นแบบหนังเสือนะครับ ขอยืนยัน และในรุ่นปี 2537 นี้ ยังมีการสร้างหนังหน้าผากเสือด้วยนะครับ นี่ก็หายากเหมือนกันมีทั้งแบบจารอักขระขอมลาวและขอมหวัดครับ ส่วนประสบการณ์นั้นยังไม่เคยได้ยินมาครับเพราะเป็นของหายากน้อยคนที่จะมี แต่ถ้าถามผมแล้วในทัศนะของผมที่ใช้ประจำตัวอยู่คือดีเด่นทางมหาอำนาจและบารมีครับ เหมาะแก่ผู้ที่เป็นเจ้าคนนายคนและปกครองคน เป็นอย่างยิ่งครับโดยเฉพาะกับผู้ที่ปกครองคนจำนวนมาก เช่นข้าราชการ หัวหน้าหน่วยงาน เป็นต้น ถือว่าเป็นตระกรุดที่น่าใช้มากๆครับ ถ้าจะบอกว่าน่าใช้กว่าคู่ชีวิตก็ว่าได้ครับ ส่วนคาถาที่ท่านใช้เสกคือ บทปืนแตกและมหาอำนาจครับ ส่วนยันต์ที่ลงในตัวตระกรุดได้กล่าวไปข้างต้นแล้ว ใครได้ไปถือว่าเป็นวาสนาบารมีเฉพาะตนครับ ท่านเสกตระกรุดหนังเสือได้ขลังไม่แพ้หลวงพ่อนอวัดกลางท่าเรือ , ไม่แพ้หลวงพ่อตาบวัดมะขามเรียงก็แล้วกันครับ เรียกว่าใช้แทนกันได้สบายพุทธคุณไม่ต่างกัน และที่สำคัญของเก๊ยังไม่เคยเห็น มีแต่ของยัดวัดว่าเป็นตระกรุดหนังเสือของหลวงพ่ออาคมครับ โปรดระวังเพราะช่วงนี้มีคนส่งเมลมาให้ผมดูกันหลายเจ้า ส่วนใหญ่เป็นหนังเสือยัดวัดยัดอาจารย์ครับ ก็ขอจบเกี่ยวกับตระกรุดหนังเสือเพียงเท่านี้ครับ เพราะมีหลายคนอยากรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้มากๆ วันนี้เขียนให้อ่านกันแล้วนะครับ ขาดตกบกพร่องประการใดจะมาเพิ่มเติมให้ทีหลังนะครับ
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กุมภาพันธ์ 19, 2012, 07:42:12 pm โดย Bui DK (Webmaster1) »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Bui DK (Webmaster1)
|
 |
« ตอบ #14 เมื่อ: ธันวาคม 29, 2010, 09:09:11 am » |
|
เหรียญคู่ชีวิตพิชิตลูกปืน
ในบรรดาวัตถุมงคลของหลวงพ่อมหาอาคมนั้น นอกจากตระกรุดคู่ชีวิตและเหรียญรุ่นแรกแล้วนั้น ก็มีรูปเหมือนปั๊มรุ่นแรกละครับที่เป็นสามสุดยอดของท่าน แต่ก็ยังมีวัตถุมงคลอีกหนึ่งชนิดนะครับที่อยากจะแนะนำให้กับท่านที่หาตระกรุดคู่ชีวิตไม่ได้ เนื่องจากราคาเช่าหาที่ค่อนข้างจะแพง นำมาเป็นทางเลือกในการตัดสินใจสืบเสาะแสวงหามาสักการบูชากันครับ นั้นคือเหรียญคู่ชีวิตครับ ซึ่งมูลเหตุของการสร้างเหรียญคู่ชีวิตนั้นเนื่องมาจากความโด่งดังของตระกรุดคู่ชีวิตของท่าน ทำให้มีคนต้องการตระกรุดคู่ชีวิตกันมากเหลือเกินจนท่านทำแทบไม่ทันแถมท่านอยู่ในวัยชราภาพ มือไม้เริ่มสั่นสายตาเริ่มไม่ค่อยจะดีเหมือนเช่นแต่ก่อน ท่านจึงรวบรวมตระกรุดคู่ชีวิตตลอดจนจารแผ่นอักขระเลขยันต์ต่างๆนำมาให้ช่างรีดเป็นแผ่นแล้วนำมาปั๊มเป็นเหรียญคู่ชีวิตขึ้นมา โดยด้านหลังเหรียญให้บรรจุยันต์คู่ชีวิตเอาไว้ แบบที่ลงในตระกรุดคู่ชีวิตทุกประการ เหรียญรุ่นนี้เรียกว่าดีทั้งนอกและใน คือเนื้อหาดีเพราะนำแผ่นอักขระเลขยันต์ต่างๆมารีดแล้วปั๊มเป็นเหรียญแถมยังได้สุดยอดพระอภิญญาที่มีบารมีทางด้านการเสกตระกรุด คือหลวงพ่อมหาอาคมปลุกเสกอีก หลวงพ่อมหาอาคมท่านบอกว่า เหรียญคู่ชีวิตหนึ่งเหรียญมีพุทธคุณเทียบเท่าตระกรุดคู่ชีวิตหนึ่งดอกครับ ส่วนจำนวนการสร้างไม่ชัดเจนแน่นอน บางท่านก็บอกสร้าง 5,000 เหรียญ บางท่านก็บอก 3,000 เหรียญ มีทั้งแบบเนื้อทองแดงรมดำ , เนื้อกระไหล่ทอง .เนื้อกระไหล่เงินลงยา ,แบบสามกษัตริย์ และเนื้อเงิน ซึ่งสำหรับเนื้อเงินนั้นหายากสุดๆ ขอยืนยันว่ามีแน่นอนแต่น้อยมากๆผมยังเคยพบเห็นเลยครับแต่ไม่มีวาสนาจะได้ครอบครอง ส่วนประสบการณ์ของเหรียญรุ่นนี้หรือครับ มีคนเคยโดนยิงแบบจ่อๆที่จังหวัดเพชรบุรีเลยนะครับ ปรากฏว่ายิงออกนะครับ แต่ไม่เข้าซึ่งเป็นเรื่องที่โจษขานกันเป็นอย่างยิ่งแถวเพชรบุรีแต่คนกลับมาเล่าว่าใส่เหรียญหลวงปู่ท่านหนึ่งกัน (อันนี้โปรดใช้วิจารณญาณในการเชื่อนะครับ) ปัจจุบันเหรียญคู่ชีวิตของหลวงพ่ออาคมยังพอหาได้นะครับ ราคายังไม่แพงแถมยังไม่มีเหรียญเก๊อีกต่างหาก เชื่อผมเถอะครับถ้าใครหาตระกรุดคู่ชีวิตไม่ได้ ลองหาเหรียญคู่ชีวิตสักเหรียญสิครับเพื่อเป็นทางเลือกของท่านอีกทางหนึ่งครับ แล้วท่านจะรู้ว่าเหรียญคู่ชีวิตนั้นสุดยอดแค่ไหน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|